การแบ่งเซลล์ (CELL DIVISION)
การเจริญเติบโต
และการสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตจะมีความเกี่ยวข้องกับการแบ่งเซลล์
ในการแบ่งเซลล์นั้นจะมีขบวนการ 2 ขบวนการ เกิดสลับกันไป คือ
การแบ่งตัวของนิวเคลียส (KARYOKINESIS) และการแบ่งตัวของไซโทพลาซึม (CYTOPLASM)
โดยปกติเมื่อสิ้นสุดการแบ่งตัวของนิวเคลียสแล้ว
ก็จะเริ่มการแบ่งตัวของไซโทพลาสซึมทันที การแบ่งตัวของนิวเคลียสมีอยู่ 2 แบบ คือ
การแบ่งตัวแบบไมโทซิส และการแบ่งตัวแบบไมโอซิส
การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส [Mitosis]
การแบ่งเซลล์เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน
ก่อนที่จะมีการแบ่งเซลล์ เซลล์จะมีการเตรียมตัวให้พร้อมก่อน ระยะเวลาที่เซลล์เตรียมความพร้อมก่อนการแบ่ง
จนถึงการแบ่งนิวเคลียสและไซโทพลาซึมจนเสร็จสิ้น เรียกว่า วัฏจักรของเซลล์ (cell
cycle) ซึ่งพบเฉพาะการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสวัฏจักรของเซลล์ประกอบด้วยขั้นตอน
2 ขั้นตอน คือ
ระยะอินเตอร์เฟส (interphase)
เป็นระยะ
ที่เซลล์เตรียมตัวให้พรอ้มก่อนที่จะแบ่งนิวเคลียสและไซโทพลาซึม เซลล์ในระยะนี้
มีนิวเคลียสขนาดใหญ่ และเห็นนิวคลีโอลัสชัดเจนเมื่อย้อมสี แบ่งเป็นระยะย่อยได้ 3
ระยะ คือ
ระยะอินเตอร์เฟส (Interphase)
เป็นระยะแรกของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซีส เป็นระยะที่เซลล์มีการเตรียมพร้อม สำหรับการแบ่งเซลล์ ตอนต้นของระยะอินเตอร์เฟส โครโมโซม (Chromosome) จะอยู่ในรูปของโครมาทิน (Chromosome) คือ มี ลักษณะเป็นสายยาวพันกันยุ่งหยิง จนดูคล้ายมีลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ อยู่ในเซลล์ เช่นเดียวกับกำมือคนเรา ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ นิ้วแต่ละนิ้วชิดกันจนแยกไม่ออกว่านิ้วไหนเป็นนิ้วไหน ตอน ปลายของระยะอินเตอร์เฟส การจำลองดีเอ็นเอ (DNA Duplication) ก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ทำให้ได้โครโมโซมเพิ่มขึ้นอีก 1 ชุด แต่ก็ยังคงมีลักษณะพันกันยุ่งหยิ่งเช่นเดิมเปรียบได้กับการกำมือทั้งสองเข้า ด้วยกันเป็นก้อนกลมจำนวนนิ้วมือของมืออีกข้างหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาก็เปรียบ ได้กับจำนวนโครโมโวมที่ได้ถูกจำลองเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชุดนั่นเอง
ระยะที่มีการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส (mitotic
phase หรือ M phase)
เป็นระยะที่มีการแบ่งนิวเคลียส
เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ แล้วตามด้วยการแบ่งของไซโทพลาซึม การแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิส
อาจแบ่งได้เป็น 4 ระยะคือ
ระยะโพรเฟส (Prophase)
ในระยะโพรเฟส โครโมโซมจะหดตัวสั้นเข้า ทำให้เห็นเป็นแท่งโครโมโซมชัดเจน ในระยะนี้จะมีการจับคุ่กันของโครโมโซมที่มีลักษณะเหมือนกันเป็นคู่เรียกว่าโครมาทิด (Chromatid) โดยมีเซนโตรเมียร์ (Centromere) เป็นจุดเชื่อม
ในระยะโพรเฟส โครโมโซมจะหดตัวสั้นเข้า ทำให้เห็นเป็นแท่งโครโมโซมชัดเจน ในระยะนี้จะมีการจับคุ่กันของโครโมโซมที่มีลักษณะเหมือนกันเป็นคู่เรียกว่าโครมาทิด (Chromatid) โดยมีเซนโตรเมียร์ (Centromere) เป็นจุดเชื่อม
เปรียบได้กับนิ้วมือแต่ละข้างของคนเราซึ่งตอนนี้ได้ถูกแบออกให้
เห็นนิ้วมือชัดเจน และมีลักษณะอยู่แนบชิดกันเป็นคู่ ๆ
สังเกตได้ว่านิ้วก้อยของมือซ้ายซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับนิ้วก้อยของมือขวา
ก็จะมาเข้าคู่กัน และนิ้วอื่น ๆ ของมือทั้งสองก็เช่นกัน
เปรียบได้กับการจับคู่ของโครโมโซมที่มีลักษณะเหมือนกัน
ระยะเมทาเฟส (Metaphase)
เป็นระยะที่สังเกตโครโมโซม ได้ชัดเจนที่สุดและเห็นได้ชัดที่สุดในของจริง
ในระยะนี้โครมาทิดจะเลื่อนมาเรียงกันกลางเซลล์ โดยที่เส้นใยสปินเดิล (Spindle
Fiber) จากขั้วเซลล์ทั้งสองข้างจะเริ่มเข้ามาจับที่เซนโตรเมียร์ของโครมาทิดแต่ละ
คู่เพื่อแยกโครโมโซมที่เข้าคู่กันอยู่ออกจากกัน
เปรียบได้กับนิ้วมือของมือแต่ละข้างของคนเราที่เคยแนบชิดกันในระยะโพรเฟส
บัดนี้จะแยกออกจากกัน โดยแต่ละคู่จะมาเรียงกันกลางเซลล์
ระยะแอนาเฟส (Anaphase)
เป็นระยะที่โครโมโซม จากโครมาทิดแต่ละคู่
เริ่มถูกดึงให้แยกออกจากกันอย่างช้า ๆ หากเป็นภาพจากของจริงในเซลล์สัตว์จะสังเกตเป็นเยื่อหุ้มเซลล์ค่อย
ๆ คอดเข้ามา เพื่อแยกออกจากกันเป็น 2 เซลล์ แต่หากเป็นเซลล์พืช จะมีผนังเซลล์บาง ๆ
มากั้นระหว่างเซลล์ทั้งสองเช่นเดียวกัน
ในภาษามือจะสังเกตว่านิ้วมือของมือแต่ละข้าง จะค่อย ๆ แยกห่างออกจากกัน
ระยะเทโลเฟส (Telophase)
เป็นระยะสุดท้ายของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซีส
ในระยะนี้โครโมโซมจะแบ่งเป็น 2 ชุดชัดเจน พร้อม ๆ กับมีการแบ่งไซโทพลาสซึม (Cytoplasm)
ออกเป็น 2 ส่วน ทำให้ได้เซลล์ใหม่ 2 เซลล์
ที่พร้อมจะมีการเจริญเติบโตและพร้อมที่จะมีการแบ่งเซลล์ใหม่ต่อไป
เปรียบได้กับกำมือทั้ง 2 ข้างที่เหมือนกันของเราเหมือนกับเซลล์ใหม่
2 เซลล์ที่เกิดขึ้น และมีลักษณะเหมือนกันทุกประการทั้ง 2 เซลล์
การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส (meiosis)
การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส
เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์ของสัตว์ ซึ่งเกิดในวัยเจริญพันธุ์
ของสิ่งมีชีวิต โดยพบในอัณฑะ (testes), รังไข่ (ovary), และเป็นการแบ่ง
เพื่อสร้างสปอร์ (spore) ในพืช ซึ่งพบในอับละอองเรณู (pollen
sac) และอับสปอร์ (sporangium) หรือโคน
(cone) หรือในออวุล (ovule)
มีการลดจำนวนชุดโครโมโซมจาก
2n เป็น n ซึ่งเป็นกลไกหนึ่ง ที่ช่วยให้จำนวนชุดโครโมโซมคงที่
ในแต่ละสปีชีส์ ไม่ว่าจะเป็นโครโมโซม ในรุ่นพ่อ - แม่ หรือรุ่นลูก – หลานก็ตาม มี
2 ขั้นตอน คือ
ไมโอซิส I (Meiosis - I)
ไมโอซิส
I (Meiosis - I) หรือ Reductional division ขั้นตอนนี้จะมีการแยก
homologous chromosome ออกจากกันมี 5 ระยะย่อย คือ
Interphase-
I
มีการสังเคราะห์
DNA อีก 1 เท่าตัว หรือมีการจำลองโครโมโซม อีก 1
ชุด และยังติดกันอยู่ ที่ปมเซนโทรเมียร์ ดังนั้น โครโมโซม 1 ท่อน จึงมี 2 โครมาทิด
Prophase - I
เป็นระยะที่ใช้เวลานานที่สุด
มีความสำคัญ ต่อการเกิดวิวัฒนาการ ของสิ่งมีชีวิตมากที่สุด เนื่องจากมีการแปลผัน ของยีนส์เกิดขึ้นโครโมโซมที่เป็นคู่กัน
(Homologous Chromosome) จะมาเข้าคู่ และแนบชิดติดกัน เรียกว่า
เกิดไซแนปซิส (Synapsis) ซึ่งคู่ของโฮโมโลกัส โครโมโซม
ที่เกิดไซแนปซิสกันอยู่นั้น เรียกว่า ไบแวเลนท์ (bivalent) ซึ่งแต่ละไบแวเลนท์มี
4 โครมาทิดเรียกว่า เทแทรด (tetrad) ในคน มีโครโมโซม 23 คู่ จึงมี 23
ไบแวเลนท์
•
โฮโมโลกัส โครโมโซม ที่ไซแนปซิสกัน จะผละออกจากกัน บริเวณกลางๆ แต่ตอนปลาย
ยังไขว้กันอยู่ เรียกว่า เกิดไคแอสมา (chiasma)
•
มีการเปลี่ยนแปลงชิ้นส่วนโครมาทิด ระหว่างโครโมโซมที่เป็นโฮโมโลกัสกัน
กับบริเวณที่เกิดไคแอสมา เรียกว่า ครอสซิ่งโอเวอร์ (crossing over) หรืออาจมีการเปลี่ยนแปลง
ชิ้นส่วนของโครมาทิด ระหว่างโครโมโซม ที่ไม่เป็นโฮโมโลกัสกัน (nonhomhlogous
chromosome) เรียกว่าทรานส-โลเคชัน (translocation) กรณีทั้งสอง
ทำให้เกิดการผันแปรของยีน (geng variation) ซึ่งทำให้เกิดการแปรผัน
ของลักษณะสิ่งมีชีวิต (variation)
Metaphase - I
ไบแวเลนท์จะมาเรียงตัวกัน
อยู่ในแนวกึ่งกลางเซลล์ (โฮโมโลกัส โครโมโซม ยังอยู่กันเป็นคู่ๆ)
Anaphase - I
ไมโทติก สปินเดิล จะหดตัวดึงให้ โฮโมโลกัส
โครโมโซม ผละแยกออกจากกัน
จำนวนชุดโครโมโซมในเซลล์ ระยะนี้ยังคงเป็น 2n
เหมือนเดิม (2n เป็น 2n)
Telophase - I
โครโมโซมจะไปรวมอยู่
แต่ละขั้วของเซลล์ และในเซลล์บางชนิด ในระยะนี้ จะมีการสร้างเยื่อหุ้มนิวเคลียส
มาล้อมรอบโครโมโซม และแบ่งไซโทพลาสซึม ออกเป็น 2 เซลล์ เซลล์ละ n แต่ในเซลล์บางชนิด
จะไม่แบ่งไซโทพลาสซึม โดยจะมีการเปลี่ยนแปลง ของโครโมโซม เข้าสู่ระยะโพรเฟส II
เลย
ไมโอซิส II (Meiosis - II)
ไมโอซิส
II (Meiosis - II) หรือ Equational division ขั้นตอนนี้จะมีการแยกโครมาทิด
ออกจากกันมี 4 - 5 ระยะย่อย คือ
Interphase - II
• เป็นระยะพักตัว ซึ่งมีหรือไม่ก็ได้
ขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์
• ไม่มีการสังเคราะห์ DNA หรือจำลองโครโมโซมแต่อย่างใด
Prophase - II
• โครมาทิดจะหดสั้นมากขึ้น
• ไม่มีการเกิดไซแนปซิส , ไคแอสมา
, ครอสซิ่งโอเวอร์ แต่อย่างใด
Metaphase - II
• โครมาทิดมาเรียงตัว อยู่ในแนวกึ่งกลางเซลล์
Anaphase - II
• มีการแยกโครมาทิดออกจากกัน
ทำให้จำนวนชุดโครโมโซมเพิ่มจาก n
• เป็น 2n ชั่วขณะ
Telophase - II
• มีการแบ่งไซโทพลาสซึม จนได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์
ซึ่งแต่ละเซลล์ มีโครโมโซม เป็น n
• ใน 4 เซลล์ที่เกิดขึ้นนั้น
จะมียีนเหมือนกันอย่างละ 2 เซลล์ ถ้าไม่เกิดครอสซิ่งโอเวอร์
หรืออาจจะมียีนต่างกันทั้ง 4 เซลล์ ถ้าเกิดครอสซิ่งโอเวอร์
หรืออาจมียีนต่างกันทั้ง 4 เซลล์ถ้าเกิดครอสซิ่งโอเวอร์
เมื่อสิ้นสุดการแบ่งจะได้
4 เซลล์ที่มีโครโมโซมเซลล์ละ n (Haploid) ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของเซลล์ตั้งต้น
และเซลล์ที่ได้เป็นผลลัพธ์ ไม่จำเป็นต้องมีขนาดเท่ากัน